
หากพูดถึงฆราวาสหญิงที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาธรรม หนึ่งในบุคคลที่เป็นที่นับถือเป็นอย่างยิ่ง ก็คือ คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมซึ่งเป็นคุณแม่ที่ทำคุณงามความดีให้กับประเทศไทยมาอย่างช้านาน วันนี้เรามาลองศึกษาประวัติของท่านกันดีกว่า ว่าคุณแม่บุญเรือน คือใคร
คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2437 ครอบครัวของท่านค่อนข้างยากจน อาศัยอยู่ด้วยกันแถวมีนบุรี เขตพระนคร ต่อมาบิดามารดาได้ย้ายไปอยู่ที่ฝั่งธนบุรี แต่ถึงแม้ว่าครอบครัวของท่านจะยากจน แต่คุณแม่บุญเรือน ก็ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี และได้รับความรักจากบิดามารดาของท่านไม่เคยขาด
ในวัยเด็กด้วยความยากจน ท่านจึงไม่ได้ไปโรงเรียน แต่ได้รับการศึกษาให้พออ่านออกเขียนได้จากบิดามารดาของท่านเอง และด้วยความที่เป็นผู้หญิงจึงเรียนรู้การเป็นแม่บ้านแม่เรือนเป็นอย่างดี คุณแม่บุญเรือนมีความสามารถในการทำกับข้าว สามารถทำอาหารได้หลายชนิด และมีรสชาติดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็น อาหารประเภทน้ำพริก อาหารแกง หรือ อาหารต้ม ท่านก็สามารถทำได้ทั้งสิ้น
ไม่เพียงเท่านั้น ท่านยังมีความสามารถในการเย็บจักร เย็บปักถักร้อย และมีความสามารถในการเป็นหมอนวด ถือเป็นความสามารถที่เพียบพร้อมของหญิงไทยเป็นอย่างยิ่ง
ในด้านชีวิตครอบครัว คุณแม่บุญเรือนได้สมรสกับ ส.ต.ท.จ้อย โตงบุญเติม ซึ่งเป็นตำรวจ แต่เนื่องจากไม่มีบุตรธิดาด้วยกัน จึงทำให้คุณแม่บุญเรือนได้รับอุปการะเด็กหญิงและเด็กชายของคนอื่นเอามาเป็นลูก
ในขณะเดียวกัน คุณแม่บุญเรือนก็ได้รับการอบรมสั่งสอนในเรื่องของธรรมะ ตามแนวคิดคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นนักบุญในพระพุทธศาสนาผู้มีจิตใจและการกระทำที่งดงามเป็นที่สุด
คุณแม่บุญเรือนได้มีโอกาสไปบวชชี ปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดสัมพันธวงศ์ ท่านฝึกวิปัสสนากรรมฐานทำให้เกิดความเข้าใจธรรมะอย่างถ่องแท้ เรียกว่าได้ว่าเป็นผู้ที่สามารถสำเร็จ “จตุตถฌาน หรือ ฌาน4” และมีคนกล่าวขานว่าเป็นผู้วิเศษที่มีวิชาอาคม มีอภินิหารทำให้เกิดอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ขึ้นมากมาย แต่ท่านก็ไม่ได้ต้องการสมบัติหรือทรัพย์สินใดๆ และเป็นต้นแบบในการชีวิตของใครหลายๆคน
ปัจจุบัน คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เสียชีวิตแล้ว แม้เดิมทีจะเป็นเพียงคนธรรมดา แต่การหมั่นทำความดี และปฏิบัติธรรมอยู่เรื่อยมา ทำให้ชีวิตผลิกผัน และมีความเชื่อว่า ถ้าใครมาขอพรกับคุณแม่บุญเรือนก็มักจะสมหวัง ถูกหวยสมใจ ทำให้คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม นับเป็นอีกหนึ่งแม่ชีที่น่าเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง