วันศุกร์, 26 เมษายน 2567

คาถาขุนแผน หลวงพ่อกวย ดังมากช่วงนี้ วันนี้เลยอยากมาเปิดประวัติ หลวงพ่อกวย ให้ทราบกัน

เรื่องราวพุทธาคมของเทพเจ้าแม่น้ำน้อยผู้หยั่งรู้ฟ้าดินนั้นก็คือ  หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร  แห่งวัดโฆสิตารามหรือวัดช่องแค  จังหวัดชัยนาท  แต่ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องราวพุทธคุณต่างๆ ที่ท่านได้ร่ำเรียนมานั้นก็ต้องพูดถึงประวัติของท่านกันสักเล็กน้อยก่อนนะครับ

หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร  มีนามเดิมว่า  เด็กชายกวย  ปั้นสน  ท่านเกิดเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน  ปีพุทธศักราช 2448 ปีมะเส็ง  ณ หมู่บ้านแคหมู่ 9 ตำบลบางขุด  อำเภอสรรคบุรี  จังหวัดชัยนาท

เด็กชายกวย  เป็นบุตรของคุณพ่อตุ้ย  ปั้นสน  บ้านเดิมอยู่อำเภอวิเศษชัยชาญ  จังหวัดอ่างทอง  และคุณแม่ตรวจ  เดชมา  คนบ้านแค  ทั้งสองมีบุตรธิดารวม 5 คน 

คนที่ 1 ชื่อ นายตุ๊ ปั้นสน (ถึงเเก่กรรม)

คนที่ 2 ชื่อ นายคาด ปั้นสน (ถึงเเก่กรรม)

คนที่ 3 ชื่อ นายชื้น ปั้นสน (ถึงเเก่กรรม)

คนที่ 4 ชื่อ นางนาค ปั้นสน (ถึงเเก่กรรม)

คนที่ 5 หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร (มรภาพเเล้ว)

เมื่อเด็กชายกวยเติบใหญ่  บิดาส่งไปเรียนหนังสือกับหลวงปู่ขวด  วัดบ้านแค  แต่หลังจากหลวงปู่ขวดได้มรณภาพลง  จึงได้นำเด็กใช้กวยมาเรียนหนังสือขอมและบาลีกับอาจารย์ดำ  วัดหัวเด่น  ห่างจากวัดบ้านแคไม่มากนัก  จนเชี่ยวชาญหนังสือขอมและบาลีชนิดหาตัวจับยาก

หลังจากนั้นเด็กชายกวยได้เลิกเรียนหันมาช่วยทางบ้านทำไร่  ไถนา  เลี้ยงครอบครัวครั้นเมื่อครบอายุบวช 20 ปี  จึงเข้าพิธีอุปสมบททดแทนบุญคุณบุพการี  เช่น  บุรุษชาติอาชาไนยพึงกระทำ  โดยมี  พระชัยนาทมุนี  เป็นพระอุปัชฌาย์  หลวงพ่อปา  วัดโบสถ์  เป็นพระกรรมวาจาจารย์  และพระอาจารย์หริ่ง  เป็นอนุสาวนาจารย์  เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม  ปีพุทธศักราช 2467 ณ พระอุโบสถวัดโบสถ์  ตำบลโพงาม  อำเภอสรรคบุรี  จังหวัดชัยนาท  รับฉายาว่า ชุตินฺธโร  แปลว่า  “โลกนี้มีแต่ความวุ่นวายของโลก หนักไปด้วยกิเลส ตัณหาคือ โลภ โกรธ หลง ทั้งสิ้น หากผู้ใดละกิเลส ตัณหาได้ก็จะถึงฝั่งพระนิพพาน”

หลังพิธีอุปสมบท  หลวงพ่อกวยจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านแค  ซึ่งขณะนั้นมีหลวงปู่มาเป็นเจ้าอาวาส  หลวงพ่อกวยจึงหัดเทศน์เวสสันดรชาดกกัณฑ์กุมารทานกัณฑ์  และมักชอบเทศน์แหล่หญิงหม้าย  โดยเทศกล่าวถึงพระนางมัทรี  ตอนที่พระเวสสันดรถูกเนรเทศออกนอกเมืองไปบวชอยู่ในป่าหลักฐานในเรื่องนี้ก็คือใบลานเทศต่างๆ ที่หลวงพ่อเก็บเอาไว้ได้มาอยู่ที่วัดวังขอน  ตำบลโพชนไก่ 2 พรรษา  เพื่อเรียนธรรมโท  แต่พอสอบไล่กลับเป็นไข้ไม่สบาย  จึงไม่ได้สอบ  หลวงพ่อกวยจึงฉุกคิดได้ว่าด้านปริยัติธรรมเราก็เรียนมามากพอแล้ว  จึงอยากจะหันไปเรียนวิปัสสนากรรมฐานและวิชาอาคม  รวมถึงวิธีทำเครื่องรางของขลังบ้าง  เมื่อคิดได้แล้ว 

หลวงพ่อกวยฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงพ่อศรี

จึงไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อศรี  วิริยะโสภิต  แห่งวัดพระปรางค์  จังหวัดสิงห์บุรี  จนเรียนสำเร็จวิชาทำแหวนนิ้วสังเกตใต้ท้องวงแหวนมักจะตอกอักขระตัวขอมว่า  อิติ  และท่านยังได้เรียนวิชาอีกหลายอย่างกับหลวงพ่อศรี  ยันแรกที่หลวงพ่อสำเร็จและมั่นใจมากก็คือ  ยันต์มงกุฎพระพุทธเจ้า  ซึ่งหลวงพ่อจะใช้ปลุกเสกพระและครื่องรางต่างๆ อันจะใช้อันนี้ลงหลังเหรียญรุ่นแรกบรรจุครบสูตรและยังได้ทำเป็นตราอย่างเพื่อประทับผ้ายันต์และรูปถ่ายบางรุ่นเพื่อคุ้มครอง  และช่วยเสริมดวงชะตาราศี  จนกลายมาเป็นชื่อยันต์เสริมดวงที่เรียกกันนั่นเอง

นอกจากนี้หลวงพ่อกวยยังได้วิชายันต์  และคาถานะโมตาบอดหลวงพ่อศรีด้วย  นอกจากใช้จานเครื่องรางแล้ว  ยังใช้บรรจุที่หลังเหรียญรุ่นที่ 2

หลังจากเรียนวิชากับหลวงพ่อศรีสำเร็จ  ท่านก็มาจำพรรษาอยู่ที่วัดหนองตาแก้ว  ตำบลโคกช้างอำเภอเดิมบางนางบวช  จังหวัดสุพรรณบุรี  ที่วัดนี้หลวงพ่อได้ปลูกต้นสมอไว้ 1 ต้น  เคยมีพระภิกษุชื่อหลวงตาสมาน  ไปอยู่วัดหนองตาแก้ว  อุ้มไก่แจ้ให้ไปนอนบนต้นสมอ  ปรากฏว่า  ไก่ไม่นอนทำอย่างไรก็ไม่ยอมนอนคาดว่าหลวงพ่อกวยได้ลงวิชาบางอย่างเอาไว้ทำให้ไก่นั้นหวาดกลัว  ซึ่งในขณะนั้นหลวงพ่อกวยเพิ่งอายุ 28 ปี 80 พรรษา  ซึ่งแสดงว่าหลวงพ่อมีอาคมขลังตั้งแต่ยังเป็นพระหนุ่ม  ซึ่งต้นสมอนี้ปัจจุบันยังอยู่และไม่มีใครกล้ายุ่งหรือลบหลู่ดูหมิ่น  เพราะกลัวอาถรรพ์ 

เรียนตำราจากโพรงไม้

เมื่อวันที่ 1 มิถุนายนปีพุทธศักราช 2477 หลวงพ่อกวยจำพรรษาอยู่ที่วัดหนองแขม  ตำบลดงคอน  จังหวัดชัยนาท  อีก 1 พรรษา  ได้เรียนแพทย์แผนโบราณต่อกับโยมป่วน  บ้านหนองแขม  และเรียนแพทย์แผนโบราณกับหมอใหญ่บ้านบางน้ำพระ  ที่วัดหนองแขมได้มีเพื่อนภิกษุชื่นแจ่มใสพบตำราสมุดข่อยวางอยู่ในโพรงไม้แต่เอาออกมาไม่ได้  เพราะตำรามีอาถรรพ์แรง  คล้ายมีเทพและเทวดารักษาอยู่  จึงชวนหลวงพ่อกวยให้ไปดู  หลวงพ่อไปดูพบว่ามีตำราอยู่ในโพรงไม้จริง  และมีรอยคนเอาพวงมาลัย  ดอกไม้  ธูปเทียน  ไปบูชาจำนวนมาก  ท่านจึงจุดธูปอธิษฐานว่า  จะให้ข้าพเจ้าเอาตำรานี้ไปเก็บรักษาไว้  ขอธูปที่จุดนี้ให้ไหม้ให้หมดดอก  ครั้งแรกธูปไหม้ไม่หมด  หลวงพ่อกวยจึงได้อธิษฐานใหม่ว่า  ถ้าหากว่าท่านจะให้ตำรานี้ให้ข้าพเจ้าเอาไปเก็บรักษาไว้  ข้าพเจ้าจะนำเอาตำรานี้ไปทำประโยชน์แก่วัดและช่วยเหลือประชาชนและผู้เดือดร้อน  แล้วก็จุดธูปขึ้นอีกครั้ง  คราวนี้ธูปไหม้หมดทั้ง 3 ดอก  หลวงพ่อจึงกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าของตำราและเก็บตำรานั้นนำมาศึกษา

เกี่ยวกับตำรานี้มีการเล่าลือกันว่า  ก่อนหน้านั้นมีคนคนหนึ่งนำตำราชุดนี้ไปเก็บในบ้าน  เกิดเหตุวิบัติเจ็บไข้ล้มตาย  จึงเอาตำราชุดนี้มาทิ้งไว้ในโพรงไม้  จนหลวงพ่อกวยนำออกมาศึกษา  เมื่อหลวงพ่อเปิดตำราดูพบลายลักษณ์อักษรบอกไว้ในตำราว่าห้ามเอาไปไว้บ้านใครๆ ทั้งสิ้น  มิฉะนั้นจะชิบหาย  ตายโหงทั้งโคตร  ท่านจึงได้ศึกษาตำรายันต์และคาถาจากตำราเล่มนี้จากนั้นมา

ปัจจุบันตำราเล่มนี้ยังคงอยู่ที่วัดโฆสิตารามหน้าปกเขียนเอาไว้ว่า  ครูแรง  ด้วยหมึกสีแดง  นับว่าหลวงพ่อกวยท่านได้เป็นพระที่ได้ตำราแปลก  ส่วนพระภิกษุแจ่มที่เป็นคนพาหลวงพ่อไปเอาตำรานี้ภายหลังได้สึกและผันชีวิตไม่เป็นไอ้เสือหรือขุนโจรชื่อดัง  เรื่องตำรายันต์ที่หลวงพ่อคัดลอกและเรียนมานี้  ปัจจุบันบางส่วนยังอยู่ที่วัด  บางส่วนอยู่ที่ศิษย์หลวงพ่อ  เช่น  อาจารย์เวียน  บ้านท่าทอง  อาจารย์โอภาส  วัดซับลำใย  อาจารย์แสวง  วัดหนองอีดุก  เป็นต้น 

ตำราเก่าสมุดบันทึกตลอดจนของใช้เก่าๆ ที่หลวงพ่อกวยเก็บไว้บางชิ้นท่านจะห่อปกด้วยกระดาษและมักจะเขียนว่า  ห้ามทำสกปรก  จับถือให้เบามือ  แสดงว่าหลวงพ่อท่านนั้นรักข้าวของและมีระเบียบ  หลวงพ่อไม่หวงของ  แต่ไม่ชอบให้ทิ้งขว้างตำรายาและเลขยันต์ต่างๆ ที่จดบันทึกไว้  บางเล่มท่านจะเขียนหน้าปกไว้ว่า  ห้ามหยิบ  ห้ามจับ  ครูแรง  บางเล่มจะเขียนสั่งว่า  เปิดดูจุดตาย  จากคำบอกเล่าของคนเก่าๆ ย่านบางแค  ยืนยันว่าพวกโจรเสือต่างๆ ไม่มีใครที่กล้าลองดีกับหลวงพ่อกวย  เสือปล้นชื่อดังจากอ่างทองพระสมุทรล้อมวัดบ้านแคตอนกลางคืน  เห็นวัวควายของชาวบ้านที่ลานวัดมีเยอะมาก  แต่เข้าไปไม่ได้แค่เดินเข้าเขตวัดก็โดนหลวงพ่อตีด้วยตะพดและโดนเล่นงานจนบาดเจ็บ  ต้องรีบหามสมุนกลับไปหมด  และไม่กล้ามาก่อเหตุแถวบ้านแคอีกเลย  นับจากนั้น  ถ้าเสือปล้นเดินผ่านวัดบ้านแคต้องยิงปืนถวายหลวงพ่อกวยทุกครั้ง  กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อไปจนหลวงพ่อมรณภาพ

การปลุกเสกวัตถุมงคลของหลวงพ่อกวย

วิธีการปลุกเสกวัตถุมงคลของท่าน  ท่านจะปลุกเสกตามฤกษ์มงคลก่อนแล้วจึง  ปลุกเสกด้วยฤกษ์โจทย์  ฤกษ์บุญพญามาร  คือพระท่านนั้นคนดีก็ใช้  โจรก็ใช้  ท่านมีวิธีการปลุกเสกที่ลึกซึ้งมาก  ตำราบางเล่มได้ระบุไว้ว่า  ท่านจะปลุกเช้า  สาย  บ่าย  เย็น  หัวค่ำ  เที่ยงคืน  และค่อนสว่าง  ท่านจะปลุกทุกวันเพื่อป้องกันคนชะตาขาดใช้  คือ  จันทร์ถึงอาทิตย์  วันไหนวันอ่อนจึงต้องปลุกเสกให้มาก  วิธีการทำของหรือปลุกเสกของ  เช้า  สาย  บ่าย  เย็น  กลางคืน  กลางดึกนี้  ตรงกับไสยเวทย์มนต์ดำทุกอย่าง  คือ  ท่านกันเอาไว้เพราะไสยดำเขาจะทำกันตอน 7 เวลานี้  คำพูดของท่านเกี่ยวกับวัตถุมงคลท่านเคยพูดถึงสมเด็จหลังรูปท่านพูดว่า “หลังรูป เก่งดี”  ท่านพูดว่า “ปรกโพธิ์ ร่มเย็น อยู่ไหน ไม่มีใครรังเกียจ”  ท่านพูดว่ามีดหมอของท่านนั้นถ้าทำบาดมือ  ให้เอาด้ามฝนทำน้ำมนต์ทาก็จะหาย

สำหรับเรื่องการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคลของท่านสามารถเล่าย่อๆได้เพียงเท่านี้  และนี้ก็เป็นเรื่องราวของเทพเจ้าแห่งแม่น้ำน้อย  ผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน  หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร  แห่งวัดโฆสิตาราม  จังหวัดชัยนาท  ส่วนในบทความตอนต่อไปจะเป็นเรื่องราวอะไรต้องคอยติดตามอ่านกันต่อไปครับ วันนี้ต้องขอลากันไปก่อนสวัสดีครับ

ข้อห้าม หลวงพ่อกวย ในการบูชาวัตถุมงคลของท่าน : ห้ามด่าแม่ ห้ามเด็ดขาด !