วันพฤหัสบดี, 25 เมษายน 2567

ย้อนรอยประวัติความเป็นมา สมเด็จพระพุฒาจารย์

ย้อนรอยประวัติความเป็นมา สมเด็จพระพุฒาจารย์ เชื่อว่าหลายท่าน คงเคยได้ยินชื่อของพระเกจิอาจารย์ ท่านหนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากตั้งแต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยาจวบจนถึงปัจจุบัน หรือที่หลายๆคนเรียกขานนามท่านว่า สมเด็จโต หลวงปู่โต หลวงพ่อโต แห่งวัดระฆังโฆสิตาราม และวันนี้ แอดมินขอพาทุกคนมาทำความรู้จักกับสมเด็จโต พระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในด้านพระปฏิบัติจนสำเร็จวิปัสสนาญาณกรรมฐานขั้นสูง อีกทั้งยังเป็นผู้ค้นพบ พระคาถาชินบัญชร บทสวดมนต์ที่สามารถป้องกันภัยอันตรายทั้งหลายได้ ๑๐ ทิศ จะมีความเป็นมาอย่างไรบ้าง เรามาย้อนรอยไปพร้อมๆกันค่ะ

ประวัติความเป็นมาของสมเด็จโตพระพุฒาจารย์  

สมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังษี มีนามเดิมว่า โต เกิดในสมัยรัชกาลที่ ๑ (หลังสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ได้ ๗ ปีแล้ว) เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๕ ขึ้น ๑๒ ค่ำ ปีวอก จุลศักราชที่ ๑๑๕๐ มีมารดาเป็นชาวบ้านธรรมดา ที่มีชื่อว่า งุด เกศ ส่วนบิดา ไม่มีหลักฐานปรากฏที่แน่ชัด เล่ากันว่า เมื่อวัยเยาว์ ท่านมีรูปร่างที่บอบบาง เพื่อเป็นการข่มนาม ผู้ใหญ่จึงตั้งชื่อไปในทางตรงกันข้าม และให้มีนามว่า โต ท่านอาศัยอยู่ที่ ณ บ้านตำบลไก่จ้น (ท่าหลวง) อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และมรณภาพ ในวันเสาร์ เดือน ๘ แรม ๒ ค่ำ ปีวอก จุลศักราชที่ ๑๒๓๔ ซึ่งตรงกับวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๔๑๕ สิริรวมอายุ ๘๕ ปี ท่านได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามได้ ๒๐ ปี โดยรับตำแหน่งตั้งแต่อายุ ๖๕ ปี และดำรงฐานันดรศักดิ์ สมเด็จพระพุฒาจารย์โตมาได้ ๗ ปีเศษ

เมื่ออายุได้ ๑๓ ปี ท่านได้บวชเป็นสามเณร ณ วัดใหญ่เมืองพิจิตร และได้ย้ายไปศึกษาพระปริยัติธรรม ณ เมืองชัยนาท จนอายุครบ ๑๘ ปี ท่านก็ย้ายมาศึกษากับอาจารย์แก้ว ณ วัดบางลำพู จังหวัดกรุงเทพฯ และยังได้ศึกษาพระปริยัติธรรมกับเสมียนตราด้วง ขุนพรมเสนา ปลัดเสนา ปลัดกรมนุท เสมียนบุญ และพระกระแสร์ จนกระทั่งได้เข้ามาเฝ้าสมเด็จพระลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอดิศร สุนทร พระบรมโอรสาธิราชให้ทรงโปรดมาอยู่กับสมเด็จพระสังฆราช วัดมหาธาตุ

ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๕๑ ท่านมีอายุได้ ๒๑ ปี จึงบวชเป็นพระภิกษุ และสมเด็จเจ้าฟ้าพระบรมราชโอรส ทรงรับภาระบรรพชาให้เป็น นาคหลวง และให้ไปบวชตามภูมิลำเนาที่มีโยมแม่ และบรรดาญาติพี่น้องอาศัยอยู่ ณ วัดตะไกร จังหวัดพิษณุโลก ท่านได้เที่ยวสัญจรไปมาตามสถานที่ต่างๆ ตามนิสัยที่ชอบการค้นคว้าหาความรู้ใหม่ๆ มุ่งศึกษาหาพระอาจารย์ต่างๆ ที่คงแก่ด้านวิปัสสนากรรมฐานสมถะ โดยการเดินธุดงค์เข้าไปตามป่าตามเขา

จวบจนสำเร็จวิปัสสนาญาณกรรมฐานขั้นสูง ท่านได้มีสมเด็จพระสังฆราชสุกไก่เถื่อนเป็นพระอาจารย์ ที่คอยพร่ำบอก พร่ำสอนวิชาความรู้ต่างๆ ให้แก่สมเด็จโต จนสมเด็จโตเก่งแตกฉานในทุกๆด้าน ในตอนนั้น สมเด็จพระสังฆราชสุกไก่เถื่อน มีการสร้างพระสมเด็จวัดพลับขึ้นมาและได้ปลุกเสกเอง จึงทำให้สมเด็จโตได้ความรู้ในการสร้างพระของขลัง หลังจากนั้นไม่นาน ท่านสมเด็จโตก็ได้ย้ายไปเป็นเจ้าอาวาส ณ วัดระฆัง

ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ พระองค์ได้โปรดปรานพระมหาโตเป็นอย่างยิ่ง กระทั่ง ปี พ.ศ. ๒๓๙๕ พระองค์ได้พระราชทานสมณศักดิ์พระมหาโตเป็นครั้งแรก ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม ตอนอายุ ๖๔ ปี และเป็นพระราชาคณะที่ พระธรรมกิติ โดยปกติแล้วพระมหาโตมักพยายามหลีกเลี่ยงการรับพระราชทานสมณศักดิ์ แต่เพราะตอนนั้นในหลวงเป็นถึงเจ้าฟ้า จึงทำให้หลีกเลี่ยงไม่ได้ และจำใจที่จะยอมรับยศสมเด็จ ทำให้ท่านต้องรับพระราชทานสมณศักดิ์ไปอีก ๒ ปี แต่ถ้าเป็นเจ้าแผ่นดินสมเด็จโตท่านสามารถหนีพ้นจึงไม่รับยศ โดยการเดินธุดงค์ออกไปหลายเดือนเพื่อหนียศ ต่อมา ท่านได้เลื่อนยศเป็นพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่ที่ พระเทพกระวี และอีก 10 ปี ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๔๗๐ จึงทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมณศักดิ์ขึ้นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระพุฒาจารย์ มีราชทินนามตามจารึกในหิรัญบัฏว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ อเนกสถานปรีชา วิสุทธศีลจรรยาสมบัติ นิพัทธุตคุณ สิริสุนทรพรตจาริก อรัญญิกคณิศร สมณนิกรมหาปรินายก ตรีปิฎกโกศล วิมลศีลขันธ์ สถิต ณ วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร พระอารามหลวงฯ

ตอนนั้นได้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ที่พิสดารมากมาย บ้างก็เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิด เป็นเรื่องตลกขบขัน เช่น มีชาวต่างชาติ ได้ทราบข่าวว่าท่านสมเด็จโตมีความสามารถที่เก่งกาจ อัจฉริยะ จึงอยากลองภูมิปัญญาของท่านว่า จุดศูนย์กลางของโลกอยู่ตรงไหน และท่านสมเด็จตอบกลับไปว่า จุดศูนย์กลางของโลกนั้นอยู่ทุกหนแห่งบนพื้นผิวโลกใบนี้ ไม่ว่าฉันจะไปยืนตรงไหน ณ จุดใด ตรงนั้นคือจุดศูนย์กลางของโลก ฝรั่งจึงถามต่อว่า ท่านสามารถพิสูจน์ให้เห็นได้หรือไม่ ท่านสมเด็จจึงตอบกลับไปว่า หากฉันพิสูจน์ได้แล้ว ท่านจะว่าอย่างไร ฝรั่งจึงไม่ตอบอะไร หลังจากนั้น สมเด็จโตจึงถือตาลปัตรและหยิบสายสิญจน์มาแทนเชือก เพื่อผูกเข้ากับตาลปัตร แล้วนำไปปักดิน จากนั้นทำการดึงเชือกสายสิญจน์ออก ใช้ปลายนิ้วลากลงบนพื้นดินให้เป็นวงกลม แล้วกล่าวว่า วงกลมคือโลก เพราะฉะนั้น ฉันยืนอยู่จุดศูนย์กลางของโลกตรงจุดที่มีตาลปัตรปักดินอยู่นั่นแหละ

เมื่อฝรั่งได้ยิน จึงยอมแพ้กลับไป และยังมีอีกหลายๆเรื่องที่ท่านสมเด็จโตสามารถรู้กาลเวลาอนาคต ครั้งหนึ่ง มีหญิงจีนมาขอหวยจากท่าน โดยการแอบนัดกับเด็กวัดแล้วแนะให้ขึ้นไปคุยกับท่านสมเด็จโตบนกุฏิ จากนั้นเด็กวัดก็ถามท่านสมเด็จโต ในขณะที่กำลังบีบนวดไปด้วย ว่า ท่านตา ท่านตา หวยงวดนี้จะออกอะไร ท่านสมเด็จโตจึงตอบว่า ข้าตอบไม่ได้โว้ย เดี๋ยวหวยของข้าจะรอดร่อง และในขณะนั้น มีอาเจ็กคนจีนคนหนึ่ง แอบอยู่บริเวณใต้ถุนกุฏิ ได้ยินสมเด็จโตพูดอย่างนั้นก็เปิดแน่บไปเลย

และอีกตำนานหนึ่งที่เล่าขานกันมา เกี่ยวกับแม่นาค สมเด็จโตพระพุฒาจารย์โต ท่านได้รู้ถึงเหตุการณ์ที่ผีนางนาค กำเริบ หมอผีไหนก็ไม่สามารถจัดการได้ ท่านจึงเดินทางไปค้างที่วัดมหาบุศย์ ในคลองพระโขนง พอค่ำท่านก็ไปนั่งอยู่ที่ปากหลุม แล้วเรียกนางนาคขึ้นมาสนทนากัน แต่ตกลงกันว่าอย่างไรไม่ทราบได้ ผลสุดท้ายท่านสมเด็จโตได้เจาะเอากระดูกตรงส่วนหน้าผากของนางนาคที่เขาฝังไว้มาได้ จากนั้นท่านก็นั่งขัดเกลาจนมันวาว แล้วนำกลับไปยังวัดระฆัง และทำการลงยันต์เป็นอักษรไว้ เจาะเป็นปั้นเหน่งคาดเอว เพื่อนำติดตัวไปทุกแห่งหน ตั้งแต่นั้นมา ผีนางนาคก็หายไปไม่มาเที่ยวหลอกผู้คนอีกเลย

จากประวัติความเป็นมา สมเด็จโต เป็นพระสงฆ์นักปฏิบัติ ที่ได้รับความเคารพเลื่อมใส ผู้คนให้ความศรัทธา จึงทำให้พระเครื่องของท่านได้รับความนิยมมากและมีราคาเช่าที่สูงมากด้วยเช่นกัน ในหมู่คนเล่นพระ ต่างก็ให้ความสนใจ และหาเช่าเพื่อบูชา และแอดมินขอแนะนำจี้พระและพู่ห้อยสมเด็จโตจากออโรร่า ที่จะช่วยให้ผู้ครอบครองประสบพบเจอแต่สิ่งดีๆ มีโชคลาภ และปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ รวมไปถึงภัยอันตรายต่างๆ อย่างไรก็ตาม ที่กล่าวไปข้างต้นนั้น เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ควรใช้วิจารณญาณนะคะ