วันพฤหัสบดี, 18 เมษายน 2567

หลวงปู่คำดี ปภาโส

หลวงปู่คำดี ปภาโส
๒๖ มีนาคม ๒๔๔๕ – ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๒๗
วัดถ้ำผาปู่นิมิตร ตำบลนาอ้อ อำเภอเมือง จังหวัดเลย
——————–

ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย
หลวงปู่คำดี ปภาโส เกิดวันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2445 ตรงกับแรม 14 ค่ำ ปีขาล ท่านเป็นบุตรคนที่ 2 ของนายพร-นางหมอก นินเขียว เกิดที่บ้านหนองคู ตำลบบ้านหว้า อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดากัน คือ ชาย 3 คน หญิง 3 คน รวม 6 คน

หลวงปู่คำดี เมื่อเป็นเด็กท่านไม่ได้เข้าโรงเรียน เพราะสมัยนั้นตามชนบทบ้านนอก ไม่มีโรงเรียน ท่านได้ศึกษาเล่าเรียน เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว โดยเข้าเรียนโรงเรียนผู้ใหญ่ จบชั้นประถมปีที่ 4 บริบูรณ์ ในสมัยที่ท่านยังเป็นเด็ก เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน และมีจิตใจเลื่อมใส ในทางพระพุทธศาสนาตลอดมา ท่านนึกอยากจะบวชมาตลอด เมื่ออายุพอบวชเป็นสามเณรได้ ท่านขออนุญาตโยมบิดา-มารดาบวช แต่ไม่ได้รับอนุญาต กลับบอกว่า เอาไว้อายุครบบวชเป็นพระ แล้วค่อยบวชทีเดียวเลย เพราะตอนนี้ทางบ้าน กำลังต้องการให้อยู่ช่วยทำงานก่อน ท่านก็ได้ช่วยพ่อแม่ทำงานด้วยความขยันหมั่นเพียร ด้วยความอดทนมาตลอด

จนกระทั่งอายุครบ 22 ปีบริบูรณ์ จึงได้ขออนุญาตบิดา-มารดาของท่านบวชอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้จึงยินดีอนุญาต ให้ท่านบวชได้ตามต้องการ ท่านดีใจมากเพราะสมใจที่คิดไว้ ท่านพูดว่า สมัยท่านเป็นเด็ก มองเห็นภูเขาเขียวๆ ที่ใกล้บ้านท่าน เป็นสถานที่ที่เหมือนว่า เคยอาศัยอยู่มาแต่ก่อนแล้ว และคิดว่าบวชครั้งนี้แล้ว คงจะได้ไปอยู่อาศัยทำความเพียรแน่ เกิดความปิติ และเกิดความชื่นใจตลอดเวลา

ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา
หลวงปู่คำดี ปภาโส บวชเป็นพระมหานิกาย ที่วัดหนองแวง บ้านเมืองเก่า ตำบลพระลับ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น พระอาจารย์ที่บวชให้คือ
– พระครูเมือง เป็นพระอุปัชฌาย์
– พระอาจารย์โพธิ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์
– พระอาจารย์ชานุหลิด เป็นพระอนุสาวนาจารย์

เมื่อบวชแล้ว ท่านไปจำพรรษาอยู่ที่บ้านหนองคู ตำบลบ้านหว้า อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น กับอาจารย์ของท่าน ต่อมาไม่นานอาจารย์ได้ลาสิกขาจากท่านไป ท่านจึงต้องทำหน้าที่ เป็นสมภารวัดแทน ท่านได้บวชอยู่ 4 พรรษา ในระหว่างที่บวชอยู่นั้น ไม่มีความยินดี และพอใจในความเป็นอยู่ เพราะท่านได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การบวชตามพระเพณีเช่นนี้ คงจะไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ ถ้าฝึกบวชและจำพรรษาอยู่อย่างนี้แล้ว คงขาดทุนในการบวชแน่นอน เพราะเป็นการอยู่ด้วยความประมาท ทั้งวันทั้งคืน อยู่ตลอดเวลา เมื่อท่านพิจารณาเห็นโทษ ในความเป็นอยู่ ท่านจึงคิดอยากที่จะไปธุดงค์กรรมฐาน ปฏิบัติภาวนาให้รู้แจ้งเห็นจริงให้ได้

การจะออกธุดงคกรรมฐาน ท่านมีความตั้งใจ ตั้งแต่ครั้งยังเป็นพระฝ่ายมหานิกายอยู่ โดยครั้งหนึ่ง ท่านเคยพาสามเณรออกไปนั่งกรรมฐานที่ป่าช้า ท่านเล่าว่า วันหนึ่ง มีคนตายใหม่เพิ่งเอาไปเผา เวลาประมาณ 2 ทุ่ม ท่านไปกับสามเณรเพียง 2 รูป ถึงป่าช้า ท่านกับสมณเณรแยกกัน ท่านอยู่ที่โคนไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง การภาวนาของท่านครั้งนั้น ยังไม่มีครูบาอาจารย์สอน ท่านได้ศึกษาตามแบบแผนที่ท่านอ่านพบ และปฏิบัติภาวนาตาม คือให้บริกรรมพุทโธ ท่านภาวนาไปสักพัก ทำให้เกิดจิตว่าง จากความนึกคิด กายก็ปรากฏว่าหายไปหมด มีสติกับความรู้อยู่เฉย มีแต่ความสุขใจ ท่านนั่งประมาณ 3 ชั่วโมง จิตจึงถอนออก

จากพรรษาที่ 1-2-3 ผ่านไป มีอยู่วันหนึ่ง หลวงปู่คำดี มีความสงสัยเรื่องพระนั่งหลับตามาก จึงเข้าไปถามพระอาจารย์ ท่านตอบว่า “นั่นท่านนั่งภาวนา เรียกว่านั่งกรรมฐาน เป็นพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ท่านเดินธุดงค์ไปตามป่าเขา อยู่ในถ้ำบำเพ็ญเพียรของท่าน” ความนึกคิดและความรู้ใหม่ๆ นี้ ทำให้หลวงปู่คำดีสนใจมากเป็นพิเศษ ได้เก็บความรู้สึกนอนเนื่องในหัวใจ ตั้งแต่บัดนั้นมา ไม่เคยลืม แม้จะศึกษาทางด้านปริยัติธรรม สวดมนต์ทำวัตรโดยปกติก็ตาม

ต่อมาพรรษาที่ 4 หลวงปู่คำดี เกิดเบื่อหน่ายในการศึกษาพระธรรมวินัย ตามที่เคยเรียนรู้อยู่ ท่านจึงมาพิจารณาเองว่า การบวชของเรานี้ ดูแล้วไม่มีอะไรเป็นแก่นเป็นสารเลย คงเป็นการบวชตามประเพณี อย่างที่เขาบวชกันเฉยๆ นั่นเอง แต่ถ้าเราได้ออกเดินธุดงค์ เหมือนอย่างพระมาปักกลดข้างๆ วัดเราก็จะมีประโยชน์มาก อีกทั้งยังได้ประสบการณ์ ที่เราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นอีกด้วย ถ้ายังเป็นอยู่เช่นนี้ คงไม่เป็นเพื่อพ้นทุกข์เสียแล้ว

เมื่อคิดได้ดังนั้น ท่านจึงตั้งจิตอธิษฐานไปว่า “ถ้าแม้ว่า ข้าพเจ้ายังดำเนินชีวิตอยู่เช่นนี้ เห็นทีจะต้องลาสิกขาออกไปใช้ชีวิตภายนอกแน่นอน แต่ถ้าแม้ว่า ข้าพเจ้าสามารถประพฤติปฏิบัติธรรม ตามเยี่ยงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ทางพ้นทุกข์ดังเช่นพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ที่เดินธุดงค์มาปักกลดเมื่อไม่นานมานี้แล้ว ก็ขอให้พระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบมาโปรดสั่งสอน แนะแนวทาง แก่ข้าพเจ้าภายในสองวันนี้ด้วยเถิด”

หลังจากหลวงปู่ได้อธิษฐานแล้ว 2 วัน ก็ปรากฏพระกรรมฐานเดินธุดงค์ผ่านมา และพักตรงบริเวณใต้ต้นไม้ใกล้ๆ วัด ที่เดียวกับพระธุดงค์ชุดก่อน ท่านมาถึงคำอธิฐานได้ ก็แสนจะดีใจ รีบหาน้ำฝนที่สะอาดไปถวาย ซึ่งในครั้งนี้มากันหลายองค์ กระจายกันพักเป็นจุดๆ ไป เมื่อหลวงปู่ถวายน้ำแล้ว ได้กราบเรียนถามตามที่ตนสงสัยนั้นว่า “นี่พระคุณเจ้ามาจากไหน และจะเดินทางไปที่ใดครับกระผม”

พระธุดงค์ตอบว่า “พวกผมพากันเดินธุดงค์จะขึ้นเขา แต่นี่ผ่านมาจึงแวะพักเหนื่อย” หลวงปู่คำดีถามว่า “การเดินธุดงค์นี้ เป็นไปเพื่อจุดประสงค์สิ่งใดครับกระผม” พระธุดงค์ตอบว่า “เพื่อความวิเวก เพื่อหาความสงบ และเพื่อโมกขธรรมคือ ความพ้นทุกข์” หลวงปู่คำพดีนิ่งคิด เพราะเรื่องนี้ เคยได้ถามพระอาจารย์มาแล้ว ท่านว่าหาทางพ้นทุกข์เหมือนกัน ท่านยิ่งเกิดความปิติยินดี ในปฏิปทาของท่านเหล่านั้นมาก ท่านมีความศรัทธาในอิริยาบถต่างๆ ที่พระธุดงค์แสดงออกมาให้เห็น

ท่านจึงออกปากพูดไปว่า “กระผมมีความสนใจมานาน พระคุณเจ้าจะรังเกียจหรือไม่ ถ้ากระผมจะขอติดตามเดินธุดงค์ไปด้วย เพื่อพระคุณเจ้าจะได้อบรมสั่งสอน ให้กระผมได้มีความรู้ความเข้าใจ ตามแนวทางปฏิบัติอย่างที่พระคุณเจ้ากระทำอยู่” พระธุดงค์จึงถามว่า “ท่านเป็นพระมหานิกาย หรือธรรมยุต” หลวงปู่คำดีตอบว่า “กระผมเป็นพระมหานิกายครับกระผม”

พระธุดงค์พูดว่า “ท่านเป็นพระมหานิกาย ไปกับพวกผมไม่ได้ เพราะบางสิ่งบางอย่าง หลักธรรมวินัยเข้ากันไม่ได้ หมายถึงไม่เหมือนกัน อย่างเช่นพิธีการต่างๆ พวกผมไม่ได้รังเกียจท่านหรอก แต่ทางที่ดีถ้าท่านอยากไปกับพวกผมจริงๆ แล้ว ขอให้ท่านไปญัตติใหม่เป็นธรรมยุตเสียก่อน จึงจะไปกับพวกผมได้ เอาละพวกผมก็พักเป็นเวลาสมควรแล้ว จะต้องรีบเดินธุดงค์ต่อไป”

หลังจากที่พระธุดงค์ชุดดังกล่าวจากไปแล้ว หลวงปู่มีความอึดอัดใจ เพราะว่าพระธุดงค์บอกว่า ถ้าจะร่วมไปกับท่านจริงต้องไปญัตติเป็นธรรมยุตก่อน ส่วนเราหรือ ก็ได้รับความเมตตาพระอาจารย์ ตลอดจนญาติโยมมากมาย แต่ใจหลวงปู่ก็ไม่อยากทิ้งความพยายาม ที่จะออกธุดงค์ ท่านรุ่มร้อนจิตใจจนทนไม่ได้ จึงอยากจะกราบพระอาจารย์ ขออนุญาตลาไปญัตติใหม่ ถ้าท่านเมตตาเราแล้ว ท่านคงไม่ขัดขวาง ต้องยินดีกับการดำเนินชีวิตที่ดี ที่ชอบของลูกศิษย์อย่างแน่นอน เพราะการเดินธุดงค์ เป็นไปเพื่อหาทางพ้นเสียจากทุกข์ พระอาจารย์คงจะอนุโมทนากับเรา

จึงได้หาโอกาสในวันหนึ่ง เข้านมัสการพระอาจารย์เพื่อขอลาญัตติใหม่ เมื่อเข้ามาถึงตรงหน้าแล้วพระอาจารย์ถามว่า “มีธุระอะไรหรือ” หลวงปู่ตอบไปว่า “กระผมมีปัญหาอยู่ว่า กระผมมีความประสงค์ ที่จะออกธุดงค์ แต่ในการเดินธุดงค์นั้น กระผมได้รับคำแนะนำว่า ให้ไปแปรนิกายใหม่เป็นธรรมยุต กระผมจึงมีความอัดอั้นตันใจ เป็นอย่างยิ่ง พระอาจารย์เห็นเป็นการสมควรประการใดครับกระผม”

พระอาจารย์ตอบว่า “ผู้เป็นพระคณาจารย์ใหญ่ ในขณะนี้ท่านเป็นพระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุต เป็นพระอาจารย์ปฏิบัติกรรมฐาน มีความสามารถเป็นยอด ท่านได้อบรมสั่งสอนบรรดาลูกศิษย์ ให้ประพฤติปฏิบัติแนวทางพ้นทุกข์ จนสามารถมีดวงตาเห็นธรรมกันมากมี ถ้าแม้ว่าเป็นวาสนาของท่านคำดีแล้ว ควรจะรีบเร่งขวนขวาย ในขณะครูบาอาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ จงไปดีนะ และขอให้ตั้งใจค้นคว้าหาสัจธรรมอันล้ำเลิศ อันเป็นทางพ้นทุกข์ได้จริงแท้แน่นอน เป็นหนทางเอกของท่านคำดีแล้ว ขออนุโมทนาให้กุศลผลแห่งภาวนามัยนี้ด้วย ขอให้พบธรรม”

หลวงปู่คำดี แสนตื้นตันใจน้ำตาเอ่อนองด้วยความปีติ นี่แหละหนอครูบาอาจารย์ผู้ประเสริฐ พระอาจารย์ผู้อยากเห็นศิษย์ได้ดี มีวิชชาต่อไปในอนาคต ท่านย่อมส่งเสริมเช่นนี้เสมอ หลวงปู่คำดีได้ลาพระอาจารย์แล้ว ยังคิดถึงโยมอุปัฏฐาก ท่านจึงได้บอกข่าว และมาประชุมกัน เพื่อขอลาเดินธุดงค์ และจะเรียนรู้ในการแปรญัตติเป็นธรรมยุตด้วย

หลังจากที่หลวงปู่คำดี ได้ยินคำอธิบายจากพระธุดงค์ผ่านไปไม่กี่วัน ท่านก็บอกญาติโยมให้เตรียมบริขาร ที่จะไปทำการญัตติใหม่ ไม่กี่วันการเตรียมบริขารเสร็จเรียบร้อย จึงลาญาติโยม เพื่อไปญัตติเป็นพระธรรมยุต ญาติโยมต่างก็อนุโมทนาทุกคน ท่านจึงออกเดินทางจากวัดหนองคู ซึ่งเป็นบ้านเกิดไปเมืองขอนแก่น ขออนุญาติ เข้าพบพระครูพิศาลอรัญเขต เจ้าอาวาสวัดศรีจันทราวาส ตำบลพระลับ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น และนมัสการกราบเรียน ให้ท่านช่วยญัตติเป็นพระธรรมยุต ท่านก็รับไว้ด้วยความเมตตา และพักอยู่ที่วัดนี้ จนกระทั่งหลวงปู่คำดี ได้ฝึกหัดอ่านอักขระ ฐานกรณ์จากอาจารย์ ได้เรียบร้อยไม่ขาดตกบกพร่อง ท่านจึงได้อนุญาต ให้ญัตติได้เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2471 ตรงกับปีมะโรง เวลา 13.30 น. เป็นอันเสร็จพิธี โดยมี
– พระครูพิศาลอรัญเขต เป็นพระอุปัชฌาย์
– พระปลัดสังข์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์
– พระสมชาย เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ปี พ.ศ. 2481 ท่านจำพรรษาที่วัดถ้ำกวาง บ้านหินร่อง ตำบลเมืองเก่า อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ครั้งแรกท่านอยู่องค์เดียว อาศัยญาติโยม ชาวบ้านหาร้านที่พักให้ชั่วคราว ต่อมามีหมู่คณะไปด้วยมีพระ 3 รูป ตาปะขาว 1 คน ถ้ำกวางนี้เป็นสถานที่ที่มีป่าทึบ ห่างไกลจากหมู่บ้านประมาณ 2 กม. ก่อนที่ท่านจะมาถ้ำกวางนี้ ท่านมุ่งมั่นทำความเพียรอย่างเดียว ยอมสละชีพเพื่อพรหมจรรย์ เพื่อมรรคผลนิพพาน ท่านได้ตั้งสัจจะอธิษฐานอยู่จำพรรษาที่ถ้ำกวางนี้ 5 พรรษา ถ้าหากจะมีอุปสรรคอะไรเกิดขึ้น ท่านก็จะไม่ยอมหนี ให้เสียสัจจะโดยเด็ดขาด การจำพรรษาที่นี่ ท่านได้ปฏิบัติภาวนาอย่างเอาเป็นเอาตาย

จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2483 ท่านได้เป็นไข้มาลาเรียอย่างหนัก แม้แต่หมู่คณะของท่านทุกรูป ก็เป็นไม่มีใครดูแลกันได้เลย ได้อาศัยชาวบ้านหินร่องมาช่วยอุปัฏฐากดูแล ต่อมาพระ 2 รูป มรณภาพ และตาปะขาว 1 คน ได้ตายจากไป ส่วนพระที่ยังไม่มรณภาพ ต่างก็หนีไปที่ต่างๆ ไม่มีใครกล้าอยู่ เพราะกลัวไข้มาลาเรียกัน สำหรับหลวงปู่ ได้มีญาติโยมมาอ้อนวอน ให้หนี แต่หลวงปู่อธิษฐานไว้แล้ว ท่านอยู่ของท่านรูปเดียว ตลอดฤดูแล้ง พอจวนจะเข้าพรรษา มีพระไปร่วมจำพรรษาอีก 4 รูป ตาปะขาว 1 คนคือ พระอ่อน หลวงตาสีดา หลวงตาช่วง ตาปะขาวบัว (หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ วัดป่าหนองแซง จังหวัดอุดรธานี) ได้ร่วมกับเพื่อนพระด้วยกันปฏิบัติภาวนา จนกระทั่งออกพรรษา

ในขณะที่อยู่ถ้ำกวาง บ้านหินร่อง กลางฤดูแล้ง ปี พ.ศ. 2484 คิดอยากจะไปวิเวกที่ “ภูแก้ว” ขณะนั้นไข้ยังไม่หายดี ก่อนไปคิดเสียสละตัดสินใจไป หากจะเป็นอย่างไรก็ยอมเป็น จะหายก็หาย จะตายก็ตาย ตัดสินใจอย่างนั้น ก็เล่าให้ลูกศิษย์ซึ่งเป็นไข้เหมือนกันฟัง

“ผมจะไปภูแก้ว ท่านจะไปด้วยไหม ถ้าผมไปผมยอมสละชีพได้น่ะ จะหายก็หายจะตายก็ตาย หากถึงภูเขาแล้วถ้ำแล้ว ถ้าลงบิณฑบาตไม่ได้ ผมก็ไม่ลง หากชาวบ้าน เขาไม่เอาอาหารมาส่งผมก็ไม่ฉัน” โสสุด (ตั้งใจแน่นอน) อย่างนี้ก็ตกลงไปด้วยกัน หลวงปู่เป็นนักต่อสู้ผู้ล้ำเลิศจริงจัง ต่อการประพฤติปฏิบัติธรรมเป็นยอด ถึงแม้ว่าสังขารร่างกายจะเป็นอย่างไร หลวงปู่ไม่เคยคิดเดือดร้อน ท่านถือว่าถ้าไม่ได้ธรรมแล้ว ขอยอมตาย สัจจะวาจาที่ตั้งไว้บังเกิดผลได้

หลวงปู่คำดี ไปอยู่ในถ้ำกวางแต่ละครั้ง ก็ล้มป่วยถูกชาวบ้าน หามลงมาทุกครั้ง ท่านอธิษฐานอยู่ 5 ปี ก็ต้องถูกหามลงมาทุกปีเหมือนกัน แต่อาศัยความเพียรเป็นเลิศ มุ่งตรงทางเอกปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ อย่างไม่มีอะไรจะเปลี่ยนจิตใจท่านได้ แม้สุขภาพไม่สมบูรณ์นักก็ตาม ความขยันในการประพฤติปฏิบัติภาวนา หลวงปู่ไม่เคยทอดทิ้งละเลย แม้ยามเจ็บป่วยหลวงปู่ยังมีสติพร้อมมูล มุ่งหวังธรรมะด้วยการเอาชีวิตเข้าแลก

ปฏิปทาในการปฏิบัติของท่านๆ เอาความตายเข้าสู้ บางวันเดินจงกรมตลอดถึงมืดก็มี บางครั้งนั่งสมาธิตลอดคืน บางวันเดินจงกรมตลอดวันอีก การปฏิบัติของท่าน ปฏิบัติแบบเอาเป็นเอาตาย ไม่ห่วงแม้แต่เรื่องการอาบน้ำ แม้เหงื่อจะไหลชุ่มโชกก็ตาม ท่านบอกว่าเหงื่อไหลตามตัวไม่เป็นไร แต่ใจมันเย็นชุมฉ่ำตลอดเวลา จึงไม่เกิดความรำคาญ ลูกศิษย์ที่ศึกษาปฏิบัติภาวนากับท่าน กราบเรียนถามท่านอีกว่า

“ท่านอาจารย์ กระผมเห็นท่านปฏิบัติภาวนาตลอดวันตลอดคืน ไม่ทราบว่าท่านเอาเวลาไหนนอน” ท่านตอบว่า “จิตมันพักอยู่ในตัวนอนอยู่ในตัว มีความยินดี และเพลิดเพลินในการปฏิบัติภาวนา จึงไม่รู้สึกเหนื่อยและไม่ง่วงนอน”

ในระหว่างที่ท่านวิเวกภาวนา อยู่ที่เขาตะกุดรังนั้น ท่านได้ถือสัจจะอันหนึ่งคือ ท่านถือสัจจะ ฉันผลไม้แทนข้าวและอาหาร สับเปลี่ยนกันไปคือ ฉันกล้วย มะพร้าว มัน เผือก น้ำอ้อย น้ำตาล 5 วัน แล้วจึงกลับไปฉันอาหาร-หวาน 3 วัน สลับกันเช่นนี้ตลอด เวลาขณะที่ท่านออกธุดงค์ประมาณ 3-4 เดือน ในระหว่างที่เร่งความเพียรอยู่นั้น ท่านพูดแต่น้อย ไม่มีเรื่องจำเป็น ท่านไม่พูด คือ ท่านพยายามฝึกสติ ไม่ให้เผลอออกจากกายและใจไป ทุกๆ อิริยาบถ 4 คือ ยืน เดิน นั่ง นอน

ท่านมีความเพียร พยายามจนจิตของท่าน ได้สมาธิใหม่สมความประสงค์ของท่าน จิตของท่านรวมอยู่เป็นวันเป็นคืนก็ได้ ขณะที่จิตของท่านได้กำลังเช่นนี้ ท่านได้พิจารณาธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ตลอดทั้งอาการ 32 ก็เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ท่านได้เพียรพยายามพิจารณาทะลุเข้าไปถึงเวทนาทั้ง 3 ตลอดไปถึงสิ่งต่างๆ ก็เห็นเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ท่านได้พิจารณาไปจนกระทั่ง จิตแสดงความบริสุทธิ์ของจิต ให้เห็นอย่างชัดเจน ขณะนี้แสดงว่า จิตของท่านได้ผ่านไตรลักษณ์ไปแล้ว

ครั้งหนึ่งเป็นฤดูแล้ง ตรงกับเดือน 3 แรม 3 ค่ำ ปี พ.ศ. 2476 ได้ยินเสียงใบพลวงหล่นดังตั้งติ้งๆ ขณะที่หลวงปู่คำดีเดินจงกรมอยู่นั้น ประมาณ 3 ทุ่ม สมัยนั้น ใช้เทียนไข ตั้งไว้ตรงกลางโคมผ้า ที่ทำเป็นรูปทรงกลม เจาะรูมันก็สว่างดี ลมพัดไฟก็ไม่ดับ มองไกลๆ เห็นแดงร่า ทางจงกรมสูงขึ้นไปจากพื้นประมาณ 2 เมตร เงียบสงัดดี ได้ยินแต่เสียงใบพลวง ตกดังตั้งติ้งๆ ทันใดนั้น ได้ยินเสียงสัตว์ขู่ ได้ยินเสียงขู่ครั้งแรก สงสัยเสียงอะไรแปลกๆ ใจมันบอกว่า “เสือ” แต่ก็ยังไม่แน่ใจ จึงเดินกำหนดจิตกลับไปกลับมา ที่ทางจงกรมอยู่อย่างนั้น มันขู่ครั้งที่สอง นี่ชัดเสียแล้ว มันดังชัด “อา..อา..อา..อา !” เสียงหายใจดังโครกคราก ไกลออกไปประมาณ 10 เมตร ไม่นานนักได้ยินเสียงขู่คำรามอีก มาอยู่ใกล้ๆ ทางจงกรม แหงนหน้าขึ้นดู แล้วขู่ อา..อา..อา..อากลัวแสนกลัว ยืนอยู่กับที่

เผลอไปพักหนึ่ง จิตมันจึงบอกว่า “กรรม” พอจิตมันแสดงความผุดขึ้นในใจว่า “กรรม” ก็มีสติดีขึ้น ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และครูบาอาจารย์ พอระลึกได้แล้ว มีสติปกติ จึงได้พูดกับมันว่า ถ้าเราเคยทำกรรมทำเวรต่อกัน ถ้าจะขึ้นมากินข้าพเจ้า จงขึ้นมากินเถิด ถ้าเราไม่เคยทำเวรทำกรรมต่อกัน ก็จงหนีเสีย เรามาอยู่ที่นี่ ก็ไม่เคยรบกวนใคร ไม่เบียดเบียนใคร ไม่ว่าสัตว์ตัวเล็ก และสัตว์ตัวใหญ่ เรามาที่นี่ เพื่อมาปฏิบัติสมณธรรมเท่านั้น

พอระลึกได้จิตตั้งมั่นแล้ว หายกลัว ความกลัวหายหมดเลย ไม่มีความกลัว เกิดความเมตตา รักมัน ฉวยโคมได้ออกตามหามันทันที ถ้าพบแล้วจะไม่มีความกลัว ไม่ว่าจะเป็นเสือเล็ก หรือเสือใหญ่ สามารถจะเข้าลูบหลังและขี่หลังมันได้

อีกครั้งหนึ่งหน้าแล้งปี พ.ศ. 2524 ท่านได้เดินทางไปวัดบ้านเหล่านาดี (วัดป่าอรัญวาสี) จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่าน เพื่อเป็นประธาน สร้างกุฏิที่ญาติโยมเขามีศรัทธา ที่จะสร้างเป็นอนุสรณ์ในด้านวัตถุถาวรไว้ แต่ท่านไม่รู้สึกยินดี เพราะท่านชอบสันโดษ ไม่มีนิสัยชอบก่อสร้าง ส่วนที่เห็นว่าทางวัดมีการสร้างสิ่งต่างๆ ส่วนมากเป็นศรัทธามาสร้างถวาย ท่านก็ไม่ขัดศรัทธา

การก่อสร้างกุฏิที่วัดนี้ ก็เช่นเดียวกัน มีศรัทธา 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายหนึ่งต้องการก่อสร้าง อีกฝ่ายหนึ่งไม่ต้องการสร้าง ไม่เป็นที่ตกลงกัน ฝ่ายที่ต้องการสร้าง ไม่ฟังเสียงคัดค้าน ได้ดำเนินการก่อสร้างไปเลย เมื่อรีบเตรียมหาวัสดุก่อสร้าง พวกที่คัดค้าน ก็หาเรื่องคัดค้านฟ้องร้องกัน หาว่าทำผิดกฎหมายบ้านเมืองให้เจ้าหน้าที่มาจับ

พอออกพรรษาในปี พ.ศ. 2525 ท่านกลับไปวัดบ้านเหล่านาดี อีก พอดีกับการก่อสร้างเสร็จ ทางญาติโยมที่มีจิตศรัทธาก็ได้ทำบุญถวายกุฏิเป็นที่เรียบร้อย

ในปีนั้น พวกโยมที่คัดค้านการก่อสร้างกุฏิ และกลั่นแกล้ง พูดจาก้าวร้าวท่านต่างๆ นานับประการนั้น คนที่เป็นหัวหน้า เกิดอาเจียนเป็นเลือดตาย ส่วนอีกคนหนึ่งนอนหลับตาย พวกญาติๆ ของฝ่ายคัดค้าน เห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ก็กลัวกันมาก เกรงว่าบาปกรรม ที่พวกตนทำไว้กับพระสงฆ์ จะตกสนองเช่นเดียวกับสองคนแรก จึงพากันไปกราบนมัสการ ขอขมาโทษจากท่าน ๆ จึงเทศน์ให้ฟังว่า

“เรื่องเป็นเรื่องตาย ไม่ใช่เรื่องของอาตมา เป็นเรื่องของพวกเขาต่างหาก เป็นเพราะใครทำกรรมอย่างใด ก็ได้รับผลของกรรมอย่างนั้น ส่วนพวกเจ้า ทำกันเอง พวกเจ้าคงจะรู้ว่าเป็นเพราะอะไร” แล้วท่านก็ให้พากันทำคารวะสงฆ์ หลวงปู่พร้อมด้วยสงฆ์ ก็ให้ศีลให้พร และท่านได้เทศน์ให้สติเตือนใจอีกว่า

“นี่แหละ การเบียดเบียนท่านผู้มีศีล ย่อมได้รับกรรมทันตา เห็นจะหาว่าไม่มีบาปมีบุญที่ไหนได้ ศาสนามีทั้งคุณและโทษ ถ้าผู้ปฏิบัติดี ก็นำพาจิตใจคนเหล่านี้ ขึ้นสวรรค์นิพพาน ถ้าคนเหล่านี้ปฏิบัติไม่ดี ก็พาคนเหล่านั้นตกนรกอเวจีก็มีมาก เรื่องบาปกรรม ย่อมไม่ยกเว้นให้กับใครทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นพระเณร หรือเจ้านายชั้นไหนๆ ก็ตาม ถ้าทำบาปลงไป เป็นบาปทั้งนั้น ไม่มีการยกเว้น ลำเอียง”